วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการซื้อ LTF

LTF (Long Term Equity Fund) หรือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้น 
เหมาะกับนักลงทุนในหุ้นระยะยาว โดยที่นักลงทุนจะต้องยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดทุน และต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน LTF มีนโยบายการลงทุนแบบเดียว คือ ลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดย LTF อาจจะแตกต่างกันใน รายละเอียดของนโยบายการลงทุน เช่น ลงทุนใน Equity 70 : Fixed Income 30 คือสัดส่วนการลงทุนในหุ้นทุน 70% และตราสารเงินและตราสารหนี้ 30% หรือเป็น Index Fund คือการลงทุนมีสัดส่วนตามดัชนีหลักทรัพย์ต่างๆ เช่น SET50 หรือเป็น Active Fund คือการลงทุนในหุ้นทั่วๆ ไป LTF บางกองทุนอาจจะมีนโยบายจ่ายปันผล
ด้วย

ถ้าเราจะซื้อ LTF ควรจะซื้อเพื่อใช้ประโยชน์ในการลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคลของเราเอง
ควรจะซื้อเมื่อฐานเงินเดือนของเราเสียภาษีอัตรา 20%ต่อปีขึ้นไป
และควรจะวางแผนการซื้อไม่น้อยกว่า 5 ปี เช่น จะเริ่มซื้อตั้งแต่ปี 2555-2559 จะซื้อปีละ 50,000 บาท
กรณีที่เสียภาษี 20%ต่อปี จะได้เงินคืนปีละ 10,000 บาท ก็โอ..นะครับ
ดังนั้นควรซื้อสัก 5 ครั้งต่อปี ครั้งละ 10,000 บาท
และซื้อเมื่อหุ้นตกมากๆ เท่านั้น ไม่ควรซื้อขณะที่หุ้นขึ้นตัวเขียว
ส่วนจะเลือกกองทุนใดนั้น สามารถสอบถามได้ที่สถาบันการเงินต่างๆได้
แต่ทุกครั้งที่ลงทุนควรพิจารณาเรื่องความเสี่ยงด้วยนะครับสำคัญมากๆ

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการขายหุ้น

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555
พิจารณาขายหุ้น RATCH เมื่อเราติดตามกราฟ จะพบว่าเส้นสีเขียว กำลังตัดลงผ่านเส้นสีส้ม และ MACD กำลังลงต่ำกว่าเส้นศูนย์ ควรพิจารณาขาย

เทคนิคการซื้อหุ้น

วันที่ 29 มีนาคม 2555
พิจารณาซื้อหุ้น BLA เมื่อเราติดตามกราฟ จะพบว่าเส้นสีเขียวกำลังตัดขึ้นผ่านเส้นสีส้ม และ MACD กำลังขึ้นพ้นจากเส้นศูนย์ ควรพิจารณาซื้อ

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการนำเงินไปลงทุน

การนำเงินไปลงทุน เมื่อเรามีเงินออมอยู่จำนวนหนึ่ง เช่นมีเงินออมอยู่ประมาณ 200,000 บาท  การนำเงินไปฝากธนาคารอาจจะไม่ใช้เป็นแนวทางที่ดีที่สุด เนื่องจากได้ดอกเบี้ยน้อย และในอนาคตรัฐบาลจะไม่คุ้มครองเงินต้น  ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นต้องหาวิธีการลงทุน การลงทุนมีหลายแบบ แต่ที่ผมจะแนะนำคือการลงทุนในหุ้นครับ ผมแนะนำอย่างนี้ครับ
1. แบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วน จะได้ส่วนละ 100,000 บาท
2. ส่วนแรกฝากธนาคารไว้ และเอาส่วนที่ 2 ลงทุนในหุ้น
3.แบ่งเงินส่วนที่ 2 ออกเป็น 3 ส่วนดังนี้
   3.1 ส่วนที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท
   3.2 ส่วนที่ 2 เป็นเงิน 30,000 บาท
   3.3 ส่วนที่ 3 เป็นเงิน 40,000 บาท
4. เลือกหุ้นตามที่เราได้วิเคราะห์แล้วตามหลักที่ผมเขียนไว้ โดยใช้เงินส่วนที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท ลงทุนในหุ้นตัวที่ 1 ครั้งแรก
   4.1 ได้กำไร ประมาณ 20% ให้แบ่งขายออกไปประมาณ 10,000 บาทเพื่อเฉลี่ยต้นทุนให้ถูกลง
   4.2 ขาดทุน 10% ให้ขายทิ้งทั้งหมดทันทีไม่ต้องเสียดาย เพราะเราเลือกไว้ตั้ง 10 ตัว
5. นำเงินส่วนที่ 2 ไปซื้อหุ้นตัวที่ 2 และทำเหมือนข้อ 4
6. นำเงินส่วนที่ 3 ไปซื้อหุ้นตัวที่ 3 และทำเหมือนข้อ 4
7. ถือหุ้นทั้ง 3 ตัวไว้ไม่น้อยกว่า 1 ปี รอจนกว่าจะได้ปันผลเพื่อนำมาเฉลี่ยต้นทุน
8. แล้วเมื่อถือครบปี นำมาวิเคราะห์ว่า บทเรียนที่เราได้จากการลงทุนหุ้นในปีที่ 1 เป็นอย่างไร ผมคงตอบไม่ได้หรอกครับว่าแต่ละคนจะเป็นอย่างไร
9. บทเรียนแบบนี้ไม่มีในตำรา ราคาไม่รู้ว่าถูกหรือแพง อยากรู้ต้องทดลองครับ ขอให้โชคดีทุกท่าน ผมเชื่อว่าคุณทำได้ ถ้าไม่โลภ..

เทคนิการออมเงินง่ายๆให้ได้ 1,000,000 บาท

เช่น คุณทำงานตั้งแต่อายุ 20 ปี มีเงินเดือนพอประมาณ จะเกษียณอายุ 60 ปี ดังนั้นจะทำงาน 40 ปี และถ้า คุณทำงานปีแรกคุณออมเงินไว้เดือนละ 100 บาท ใน 1 ปีคุณจะมีเงินเก็บ 1,200 บาท
ถ้า คุณทำงานปีที่ 2 คุณออมเงินไว้เดือนละ 200 บาท ในปีที่ 2 คุณจะมีเงินเก็บเพิ่มอีก 2,400 บาท
เก็บออมแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอสิ้นปีได้เงินเดือนเพิ่มให้เราเพิ่มเงินออมอีกเดือนละ 100 บาท จนถึงอายุ 60 ปี คุณจะมีเงินออมประมาณ 1,000,000 บาท ไม่รวมดอกเบี้ยนะครับ แต่ถ้าจะให้ได้มากกว่านี้ต้องนำเงินที่เราออมไวไปลงทุนต่อไป เช่น ทองคำ หุ้น ตราสารหนี้ฯลฯ ไม่เชื่อลองทำดู
ขอขอบคุณ ผอ.วิระ ทารัตน์ ที่แนะนำสิ่งดีๆให้ครับ
ปีที่เก็บออมเดือนละ(บาท)จำนวน(เดือน)รวมเป็นเงิน(บาท)
1100121,200
2200122,400
3300123,600
4400124,800
5500126,000
6600127,200
7700128,400
8800129,600
99001210,800
101,0001212,000
111,1001213,200
121,2001214,400
131,3001215,600
141,4001216,800
151,5001218,000
161,6001219,200
171,7001220,400
181,8001221,600
191,9001222,800
202,0001224,000
212,1001225,200
222,2001226,400
232,3001227,600
242,4001228,800
252,5001230,000
262,6001231,200
272,7001232,400
282,8001233,600
292,9001234,800
303,0001236,000
313,1001237,200
323,2001238,400
333,3001239,600
343,4001240,800
353,5001242,000
363,6001243,200
373,7001244,400
383,8001245,600
393,9001246,800
404,0001248,000
รวมเป็นเงิน984,000


วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

การใช้กราฟเทคนิคสำหรับ ซื้อ/ขาย

ในการซื้อหรือขายหุ้นเราจะใช้ความรู้สึก เป็นตัวตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายไม่ได้ ต้องกราฟเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ จุดสังเกตุ ดูที่เส้นสีเขียวตัดผ่านขึ้นเส้นสีส้ม ควรพิจารณาซื้อ
และถ้าเส้นสีเขียวตัดผ่านลงเส้นสีส้ม ควรพิจารณาขาย
การหาข้อมูลกราฟ ตามลิงค์ครับ http://jo.klongjan.com/news/DTAC


เทคนิคการเลือกหุ้นดีดี จากตลาดหลักทรัพย์

การเลือกหุ้นดีดี จากตลาดหลักทรัพย์ พิจารณาดังนี้
ดูตัวเลขทางการเงินที่สำคัญ ตามลิงค์ด้านล่างครับ
1. ผลกำไรต่อส่วนผู้ถือหุ้น ต้องเกิน 20%
2. ไม่ขาดทุนและ กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี สม่ำเสมอ
3. หนี้สิน หารด้วย ส่วนผู้ถือหุ้น ต้องไม่เกิน 2
4. ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มทุกปี
5. รายได้ เพิ่มทุกปี สม่ำเสมอ
6.  ดูแผนงานของบริษัท 1-3 ปี ถัดไป (เอาไว้ไปติดตาม เมื่อเราซื้อแล้วว่าทำได้จริงตามแผนหรือไม่  ถ้าทำได้ถือต่อ ถ้าทำไม่ได้ กลับมาพิจารณาใหม่)
7. สุดท้ายผู้บริหารต้องไม่ขี้โกง  

http://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=HMPRO&selectPage=3

เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรคเกอร์

ตรวจสอบรายชื่อโบรคเกอร์ ที่สะดวกและติดต่อได้ง่ายและใกล้บ้าน และโทรสอบถามรายละเอียด ตามลิงค์ http://www.settrade.com/C00_BeginnerRedirect.jsp?txtPage=beginnerZone/th/beginner-broker-list.html

การลงทุนในหุ้น

ขั้นตอนการลงทุนในหุ้น
  1. เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรคเกอร์
  2. เลือกหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ มาประมาณไม่เกิน 10 ตัว  
  3. ใช้กราฟเทคนิคสำหรับ ซื้อ/ขาย
  4. สั่งซื้อหุ้นที่เราต้องการกับโบรคเกอร์โดยทางโทรศัพท์
  5. เมื่อโบรคเกอร์สั่งซื้อได้ตามที่เราต้องการ จะโทรกลับมาหาเราว่าดำเนินการได้ตามที่เราสั่งซื้อ
  6. โบรคเกอร์จะส่งคำสั่งให้เราภายหลัง
  7. การจ่ายเงินให้หักเงินผ่านบัญชีธนาคาร จ่ายหลังจากเราสั่งซื้อ 4 วันทำการ